กฎบัตรสหประชาชาติ ค.ศ.1945

กฎบัตรสหประชาชาติ ค.ศ.1945
กฎบัตรสหประชาชาติ ค.ศ.1945
Download
Download is available until [expire_date]
  • Version
  • Download 7
  • File Size 908.03 KB
  • File Count 1
  • Create Date 24 กุมภาพันธ์ 2018
  • Last Updated 24 กุมภาพันธ์ 2018

กฎบัตรสหประชาชาติ ค.ศ.1945

กฎบัตรสหประชาชาติ

กรมองค์การระหว่างประเทศ

กระทรวงการต่างประเทศ

กฎบัตรสหประชาชาติ

 

เราบรรดาประชาชนแห่งสหประชาชาติ

ได้ตั้งเจตจำนง

ที่จะช่วยชนรุ่นหลังให้พ้นจากภัยพิบัติแห่งสงคราม ซึ่งได้นำความวิปโยคอย่างสุดจะพรรณนามาสู่มนุษยชาติในชั่วชีวิตของเราถึงสองครั้งแล้ว และที่จะยืนยันความเชื่อมั่นในสิทธิมนุษยชนอันเป็นหลักมูล ในเกียรติศักดิ์และคุณค่าของมนุษยบุคคล ในสิทธิอันเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรี และของประชาชาติใหญ่น้อย และที่จะสถาปนาภาวการณ์อันจะธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม และความเคารพต่อข้อผูกพันทั้งหลายอันเกิดจากสนธิสัญญาและที่มาอื่น ๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ และที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคม และมาตรฐานแห่งชีวิตอันดียิ่งขึ้นในอิสรภาพที่กว้างขวางยิ่งขึ้น

และเพื่อจุดหมายปลายทางเหล่านี้

ที่จะปฏิบัติการผ่อนสั้นผ่อนยาว และดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันในสันติภาพเยี่ยงเพื่อนบ้านที่ดี และที่จะรวมกำลังของเราเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และที่จะให้ความแน่นอนใจว่าจะไม่มีการใช้กำลังอาวุธ นอกจากเพื่อประโยชน์ร่วมกัน โดยการยอมรับหลักการและวิธีการที่ตั้งขึ้น และที่จะใช้จักรกลระหว่างประเทศ สำหรับส่งเสริมความรุดหน้าในทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนทั้งปวง

จึงได้ลงมติที่จะผสมผสานความพยายามของเรา

ในอันที่จะให้สำเร็จผลตามความมุ่งหมายเหล่านี้

โดยนัยนี้ รัฐบาลของเราโดยลำดับจึงได้ตกลงกันตามกฎบัตรสหประชาชาติฉบับปัจจุบัน โดยทางผู้แทนที่มาร่วมชุมนุมในนครซานฟรานซิสโก ซึ่งได้แสดงหนังสือมอบอำนาจเต็มของตนอันได้ตรวจแล้วว่าเป็นไปตามแบบที่ดีและถูกต้อง และ ณ ที่นี้จึงสถาปนาองค์การระหว่างประเทศขึ้น เรียกว่า สหประชาชาติ

 

หมวดที่ ๑

ความมุ่งประสงค์และหลักการ

                  

 

ข้อ ๑

ความมุ่งประสงค์ของสหประชาชาติ คือ

๑. เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และเพื่อจุดหมายปลายทางนั้น จะได้ดำเนินมาตรการร่วมกันอันมีผลจริงจังเพื่อการป้องกันและการขจัดปัดเป่าการคุกคามต่อสันติภาพ และเพื่อปราบปรามการกระทำการรุกรานหรือการละเมิดอื่น ๆ ต่อสันติภาพ และนำมาซึ่งการแก้ไข หรือระงับกรณีพิพาทหรือสถานการณ์ระหว่างประเทศอันอาจนำไปสู่การละเมิดสันติภาพ โดยสันติวิธีและสอดคล้องกับหลักการแห่งความยุติธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ

๒. เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประชาชาติทั้งหลายโดยยึดการเคารพต่อหลักการแห่งสิทธิที่เท่าเทียมกันและการกำหนดเจตจำนงของตนเองแห่งประชาชนทั้งหลายเป็นมูลฐาน และจะดำเนินมาตรการอื่น ๆ อันเหมาะสมเพื่อเป็นกำลังแก่สันติภาพสากล

๓. เพื่อให้บรรลุถึงการร่วมมือระหว่างประเทศ ในอันที่จะแก้ปัญหาระหว่างประเทศทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม หรือมนุษยธรรมและในการส่งเสริมและสนับสนุนการเคารพต่อสิทธิมนุษยชน และต่ออิสรภาพอันเป็นหลักมูลสำหรับทุกคน โดยไม่เลือกปฏิบัติในเรื่องเชื้อชาติ เพศ ภาษา หรือศาสนา และ

๔. เพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับประสานการดำเนินการของประชาชาติทั้งหลายให้กลมกลืนกัน ในอันที่จะบรรลุจุดหมายปลายทางร่วมกันเหล่านี้

 

ข้อ ๒

เพื่ออนุวัตตามความมุ่งประสงค์ดังกล่าวในข้อ ๑ องค์การฯ และสมาชิกขององค์การฯ จะดำเนินการโดยสอดคล้องกับหลักการดังต่อไปนี้

๑. องค์การฯ ยึดหลักการแห่งความเสมอภาคในอธิปไตยของสมาชิกทั้งปวงเป็นมูลฐาน

๒. เพื่อทำความแน่ใจให้แก่สมาชิกทั้งปวงในสิทธิและผลประโยชน์อันพึงได้รับจากสมาชิกภาพ สมาชิกทั้งปวงจะต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันซึ่งตนยอมรับตามกฎบัตรฉบับปัจจุบันโดยสุจริตใจ

๓. สมาชิกทั้งปวงจะต้องระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศของตนโดยสันติวิธี ในลักษณะการเช่นที่จะไม่เป็นอันตรายแก่สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และความยุติธรรม

๔. ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมาชิกทั้งปวงจะต้องละเว้นการคุกคาม หรือการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งอาณาเขต หรือเอกราชทางการเมืองของรัฐใด ๆ หรือการกระทำในลักษณะการอื่นใดที่ไม่สอดคล้องกับความมุ่งประสงค์ของสหประชาชาติ

๕. สมาชิกทั้งปวงจะต้องให้ความช่วยเหลือทุกประการแก่สหประชาชาติในการกระทำใด ๆ ที่ดำเนินไปตามกฎบัตรฉบับปัจจุบัน และจะต้องละเว้นการให้ความช่วยเหลือแก่รัฐใด ๆ ที่กำลังถูกสหประชาชาติดำเนินการป้องกันหรือบังคับอยู่

๖. องค์การฯ จะต้องให้ความแน่นอนใจว่า รัฐที่มิได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติจะปฏิบัติโดยสอดคล้องกับหลักการเหล่านี้เท่าที่จำเป็นเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

๗. ไม่มีข้อความใดในกฎบัตรฉบับปัจจุบันจะให้อำนาจแก่สหประชาชาติเข้าแทรกแซง ในเรื่องซึ่งโดยสาระสำคัญแล้วตกอยู่เขตอำนาจภายในของรัฐใด ๆ หรือจะเรียกให้สมาชิกเสนอเรื่องเช่นว่าเพื่อการระงับตามกฎบัตรฉบับปัจจุบัน แต่หลักการนี้จะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อการใช้มาตรการบังคับตามหมวดที่ ๗

 

หมวดที่ ๒

สมาชิกภาพ

                  

 

ข้อ ๓

สมาชิกดั้งเดิมของสหประชาชาติ ได้แก่รัฐซึ่งลงนามในกฎบัตรฉบับปัจจุบันและให้สัตยาบันตามข้อ ๑๑๐ โดยได้เข้าร่วมในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยองค์การระหว่างประเทศที่ซานฟรานซิสโก หรือได้ลงนามไว้ก่อนในปฏิญญาโดยสหประชาชาติ ลงวันที่ ๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๔๒ แล้ว

 

ข้อ ๔

๑. สมาชิกภาพแห่งสหประชาชาติเปิดให้แก่รัฐที่รักสันติภาพทั้งปวงซึ่งยอมรับข้อผูกพันที่มีอยู่ในกฎบัตรฉบับปัจจุบัน และในการวินิจฉัยขององค์การฯ เห็นว่ามีความสามารถและเต็มใจที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันเหล่านี้

๒. การรับรัฐใด ๆ เช่นว่านั้นเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติจะเป็นผลก็แต่โดยมติของสมัชชาตามคำแนะนำของคณะมนตรีความมั่นคง

 

ข้อ ๕

สมาชิกของสหประชาชาติที่ได้ถูกคณะมนตรีความมั่นคงดำเนินการในทางป้องกันหรือบังคับ อาจถูกสมัชชาสั่งงดใช้สิทธิและเอกสิทธิแห่งสมาชิกภาพได้ตามคำแนะนำของคณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีความมั่นคงอาจคืนการใช้สิทธิและเอกสิทธิเหล่านี้ให้ได้

 

ข้อ ๖

สมาชิกของสหประชาชาติ ซึ่งได้ละเมิดหลักการอันมีอยู่ในกฎบัตรฉบับปัจจุบันอยู่เป็นเนืองนิจอาจถูกขับไล่ออกจากองค์การฯ โดยสมัชชาตามคำแนะนำของคณะมนตรีความมั่นคง

 

หมวดที่ ๓

องค์กร

                  

 

ข้อ ๗

๑. องค์กรสำคัญของสหประชาชาติที่ได้สถาปนาขึ้น มีสมัชชาคณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม คณะมนตรีภาวะทรัสตีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และสำนักเลขาธิการ

๒. องค์กรย่อยอาจสถาปนาขึ้นได้ตามกฎบัตรฉบับปัจจุบันตามความจำเป็น

 

ข้อ ๘

สหประชาชาติจะไม่วางข้อกำกัดในการรับบุรุษและสตรี เข้าร่วมในองค์กรสำคัญ และองค์กรย่อยของสหประชาชาติไม่ว่าในฐานะใด ๆ และต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขแห่งความเสมอภาค

 

หมวดที่ ๔

สมัชชา

                  

 

องค์ประกอบ

 

ข้อ ๙

๑. สมัชชาจะต้องประกอบด้วยสมาชิกทั้งปวงของสหประชาชาติ

๒. สมาชิกแต่ละประเทศจะมีผู้แทนในสมัชชาได้ไม่มากกว่าห้าคน

 

หน้าที่และอำนาจ

 

ข้อ ๑๐

สมัชชาอาจอภิปรายปัญหาใด ๆ หรือเรื่องใด ๆ ภายในขอบข่ายแห่งกฎบัตรฉบับปัจจุบัน หรือที่เกี่ยวโยงไปถึงอำนาจและหน้าที่ขององค์กรใด ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในกฎบัตรฉบับปัจจุบันได้ และอาจทำคำแนะนำไปยังสมาชิกของสหประชาชาติ หรือคณะมนตรีความมั่นคง หรือทั้งสองแห่งในปัญหาหรือเรื่องราวใด ๆ เช่นว่านั้นได้ เว้นแต่ที่ได้บัญญัติไว้ในข้อ ๑๒

 

ข้อ ๑๑

๑. สมัชชาอาจพิจารณาหลักการทั่วไปแห่งความร่วมมือ ในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ รวมทั้งหลักการควบคุมการลดอาวุธและการควบคุมกำลังอาวุธ และอาจทำคำแนะนำเกี่ยวกับหลักการเช่นว่าไปยังสมาชิก หรือคณะมนตรีความมั่นคง หรือทั้งสองแห่งก็ได้

๒. สมัชชาอาจอภิปรายปัญหาใด ๆ เกี่ยวกับการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศอันได้เสนอต่อสมัชชาโดยสมาชิกใด ๆ ของสหประชาชาติ หรือโดยคณะมนตรีความมั่นคง หรือโดยรัฐที่มิใช่สมาชิกของสหประชาชาติตามข้อ ๓๕ วรรค ๒ และ เว้นแต่ที่ได้บัญญัติไว้ในข้อ ๑๒ อาจทำคำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาใด ๆ เช่นว่านั้นไปยังรัฐหนึ่งหรือหลายรัฐที่เกี่ยวข้อง หรือคณะมนตรีความมั่นคงหรือทั้งสองแห่งก็ได้ สมัชชาจะต้องส่งปัญหาใด ๆ เช่นว่า ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการไปยังคณะมนตรีความมั่นคงจะเป็นก่อนหรือหลังการอภิปรายก็ได้

๓. สมัชชาอาจแจ้งให้คณะมนตรีความมั่นคงทราบสถานการณ์ซึ่งน่าจะเป็นอันตรายต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศได้

๔. อำนาจของสมัชชาตามที่กำหนดไว้ในข้อนี้จะต้องไม่จำกัดขอบข่ายทั่วไปของข้อ ๑๐

 

ข้อ ๑๒

๑. ในขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงกำลังปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับกรณีพิพาทหรือสถานการณ์ใด ๆ อันได้รับมอบหมายตามกฎบัตรฉบับปัจจุบันอยู่นั้น สมัชชาจะต้องไม่ทำคำแนะนำใด ๆ เกี่ยวกับกรณีพิพาทหรือสถานการณ์นั้น นอกจากคณะมนตรีความมั่นคงจะร้องขอ

๒. โดยความยินยอมของคณะมนตรีความมั่นคง เลขาธิการจะต้องแจ้งให้สมัชชาทราบทุกสมัยประชุมถึงเรื่องราวใด ๆ เกี่ยวกับการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงกำลังดำเนินการอยู่ และในทำนองเดียวกัน จะต้องแจ้งสมัชชาหรือสมาชิกของสหประชาชาติในกรณีที่สมัชชามิได้อยู่ในสมัยประชุมให้ทราบในทันทีที่คณะมนตรีความมั่นคงหยุดดำเนินการในเรื่องเช่นว่านั้น

 

ข้อ ๑๓

๑. สมัชชาจะต้องริเริ่มการศึกษาและทำคำแนะนำเพื่อความมุ่งประสงค์ในการ

ก. ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการเมือง และสนับสนุนพัฒนาการก้าวหน้าของกฎหมายระหว่างประเทศและการประมวลกฎหมายนี้

ข. ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษาและอนามัย และช่วยเหลือให้ได้รับสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพอันเป็นหลักมูลสำหรับทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติในเรื่องเชื้อชาติ เพศ ภาษา หรือศาสนา

๒. ความรับผิดชอบ หน้าที่ และอำนาจต่อไปของสมัชชาเกี่ยวกับเรื่องที่ระบุไว้ในวรรค ๑ (ข) ข้างต้น ได้กำหนดไว้ในหมวดที่ ๙ และ ๑๐

 

ข้อ ๑๔

ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของข้อ ๑๒ สมัชชาอาจแนะนำมาตรการเพื่อการปรับปรุงสถานการณ์ใด ๆ โดยสันติ เมื่อเห็นว่าน่าจะเสื่อมเสียแก่สวัสดิการทั่วไป หรือความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประชาชาติทั้งหลาย รวมทั้งสถานการณ์ซึ่งเป็นผลจากการละเมิดบทบัญญัติของกฎบัตรฉบับปัจจุบัน อันได้กำหนดความมุ่งประสงค์และหลักการของสหประชาชาติไว้ ทั้งนี้ โดยมิต้องคำนึงถึงแหล่งกำเนิด

 

ข้อ ๑๕

๑. สมัชชาจะต้องรับและพิจารณารายงานประจำปีและรายงานพิเศษจากคณะมนตรีความมั่นคง รายงานเหล่านี้จะต้องรวมรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ที่คณะมนตรีความมั่นคงได้วินิจฉัยหรือดำเนินการไปเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

๒. สมัชชาจะต้องรับและพิจารณารายงานจากองค์กรอื่น ๆ ของสหประชาชาติ

 

ข้อ ๑๖

สมัชชาจะต้องปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับระบบภาวะทรัสตีระหว่างประเทศดังที่ได้รับมอบหมายตามหมวดที่ ๑๒ และ ๑๓ รวมทั้งเกี่ยวกับความเห็นชอบเรื่องความตกลงภาวะทรัสตีสำหรับดินแดนที่มิได้กำหนดว่าเป็นเขตยุทธศาสตร์

 

ข้อ ๑๗

๑. สมัชชาจะต้องพิจารณาและให้ความเห็นชอบแก่งบประมาณขององค์การฯ

๒. สมาชิกจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายขององค์การฯ ตามส่วนที่สมัชชาได้กำหนดให้

๓. สมัชชาจะต้องพิจารณาและให้ความเห็นชอบแก่ข้อตกลงใด ๆ ทางการเงินและงบประมาณกับทบวงการชำนัญพิเศษดังกล่าวไว้ในข้อ ๕๗ และจะต้องตรวจสอบงบประมาณด้านบริหารของทบวงการชำนัญพิเศษดังกล่าว เพื่อที่จะทำคำแนะนำต่อทบวงการที่เกี่ยวข้อง

 

การลงคะแนนเสียง

 

ข้อ ๑๘

๑. สมาชิกแต่ละประเทศของสมัชชาจะมีคะแนนเสียงหนึ่งคะแนน

๒. คำวินิจฉัยของสมัชชาในปัญหาสำคัญ ๆ จะต้องกระทำโดยเสียงข้างมากสองในสามของสมาชิกที่มาประชุมและลงคะแนนเสียง ปัญหาเหล่านี้จะต้องรวมคำแนะนำเกี่ยวกับการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การเลือกตั้งสมาชิกไม่ประจำของคณะมนตรีความมั่นคง การเลือกตั้งสมาชิกของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม การเลือกตั้งสมาชิกของคณะมนตรีภาวะทรัสตีตามวรรค ๑ (ค) ของข้อ ๘๖ การรับสมาชิกใหม่ของสหประชาชาติ การงดใช้สิทธิและเอกสิทธิแห่งสมาชิกภาพ การขับไล่สมาชิก ปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินงานของระบบภาวะทรัสตี และปัญหางบประมาณ

๓. คำวินิจฉัยปัญหาอื่น ๆ รวมทั้งการกำหนดประเภทแห่งปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยด้วยเสียงข้างมากสองในสามเพิ่มเติมนั้น จะต้องกระทำโดยเสียงข้างมากของสมาชิกที่มาประชุมและลงคะแนนเสียง

 

ข้อ ๑๙

สมาชิกของสหประชาชาติที่ค้างชำระเงินค่าบำรุงแก่องค์การฯ ย่อมไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียงในสมัชชา ถ้าจำนวนเงินค้างชำระเท่าหรือมากกว่าจำนวนเงินค่าบำรุงที่ถึงกำหนดชำระสำหรับสองปีเต็มที่ล่วงมา อย่างไรก็ตาม สมัชชาอาจอนุญาตให้สมาชิกเช่นว่านั้นลงคะแนนเสียงได้ ถ้าทำให้เป็นที่พอใจได้ว่าการไม่ชำระนั้นเนื่องมาแต่ภาวะอันอยู่นอกเหนือการควบคุมของสมาชิกนั้น

 

วิธีดำเนินการประชุม

 

ข้อ ๒๐

สมัชชาจะต้องประชุมกันในสมัยประชุมสามัญประจำปี และในสมัยประชุมพิเศษเช่นโอกาสที่จำเป็น เลขาธิการจะเรียกประชุมสมัยพิเศษตามคำร้องขอของคณะมนตรีความมั่นคง หรือของสมาชิกข้างมากของสหประชาชาติ

 

ข้อ ๒๑

สมัชชาจะกำหนดระเบียบข้อบังคับการประชุมของตนเอง ทั้งจะเลือกตั้งประธานสมัชชาสำหรับแต่ละสมัยประชุมด้วย

 

ข้อ ๒๒

สมัชชาอาจสถาปนาองค์กรย่อยเช่นที่เห็นจำเป็น สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ได้

 

หมวดที่ ๕

คณะมนตรีความมั่นคง

                  

 

องค์ประกอบ

 

ข้อ ๒๓

๑. คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องประกอบด้วยสมาชิกของสหประชาชาติสิบห้าประเทศ สาธารณรัฐจีน ฝรั่งเศส สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ และสหรัฐอเมริกา จะเป็นสมาชิกประจำของคณะมนตรีความมั่นคง สมัชชาจะต้องเลือกตั้งสมาชิกอื่นของสหประชาชาติอีกสิบประเทศ เป็นสมาชิกไม่ประจำของคณะมนตรีความมั่นคง ทั้งนี้ จะต้องคำนึงเป็นพิเศษในประการแรกถึงส่วนเกื้อกูลของสมาชิกของสหประชาชาติ ต่อการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และความมุ่งประสงค์อื่น ๆ ขององค์การฯ และทั้งการแจกกระจายตามเขตภูมิศาสตร์อย่างเป็นธรรมอีกด้วย

๒. สมาชิกไม่ประจำของคณะมนตรีความมั่นคงจะต้องได้รับเลือกตั้งมีกำหนดเวลาสองปี ในการเลือกตั้งครั้งแรกของสมาชิกไม่ประจำ หลังจากการเพิ่มจำนวนสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงจากสิบเอ็ดประเทศเป็นสิบห้าประเทศ สมาชิกสองในสี่ประเทศที่เพิ่มขึ้นจะได้รับเลือกให้อยู่ในตำแหน่งมีกำหนดเวลาหนึ่งปี สมาชิกที่กำลังพ้นตำแหน่งไม่มีสิทธิเข้ารับเลือกตั้งซ้ำโดยทันที

๓. สมาชิกแต่ละประเทศของคณะมนตรีความมั่นคงจะมีผู้แทนได้หนึ่งคน

 

หน้าที่และอำนาจ

 

ข้อ ๒๔

๑. เพื่อประกันการดำเนินการของสหประชาชาติอย่างทันท่วงทีและเป็นผลจริงจัง สมาชิกของสหประชาชาติจึงมอบความรับผิดชอบขั้นต้นสำหรับการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศให้แก่คณะมนตรีความมั่นคง และตกลงว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของตนตามความรับผิดชอบนี้ คณะมนตรีความมั่นคงกระทำในนามของสมาชิก

๒. ในการปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องกระทำตามความมุ่งประสงค์และหลักการของสหประชาชาติ อำนาจเฉพาะที่มอบให้คณะมนตรีความมั่นคงสำหรับการปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ได้กำหนดไว้ในหมวดที่ ๖, ๗, ๘ และ ๑๒

๓. คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องเสนอรายงานประจำปี และรายงานพิเศษเมื่อจำเป็นต่อสมัชชาเพื่อการพิจารณา

 

ข้อ ๒๕

สมาชิกของสหประชาชาติ ตกลงยอมรับและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะมนตรีความมั่นคงตามกฎบัตรฉบับปัจจุบัน

 

ข้อ ๒๖

เพื่อส่งเสริมการสถาปนา และการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยการผันแปรทรัพยากรทางมนุษยชนและทางเศรษฐกิจของโลกมาใช้เพื่อเป็นกำลังอาวุธให้น้อยที่สุด คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องรับผิดชอบในการกำหนดแผนซึ่งจะเสนอต่อสมาชิกของสหประชาชาติเพื่อการสถาปนาระบบอันหนึ่ง สำหรับการควบคุมกำลังอาวุธ ทั้งนี้ ด้วยความช่วยเหลือของคณะกรรมการเสนาธิการทหารตามที่ระบุไว้ในข้อ ๔๗

 

การลงคะแนนเสียง

 

ข้อ ๒๗

๑. สมาชิกแต่ละประเทศของคณะมนตรีความมั่นคงจะมีคะแนนเสียงหนึ่งคะแนน

๒. คำวินิจฉัยของคณะมนตรีความมั่นคง ในเรื่องวิธีดำเนินการจะต้องกระทำโดยคะแนนเสียงเห็นชอบของสมาชิกเก้าประเทศ

๓. คำวินิจฉัยของคณะมนตรีความมั่นคงในเรื่องอื่นทั้งหมด จะต้องกระทำโดยคะแนนเสียงเห็นชอบของสมาชิกเก้าประเทศ ซึ่งรวมคะแนนเสียงเห็นพ้องกันของบรรดาสมาชิกประจำอยู่ด้วย โดยมีเงื่อนไขว่าในคำวินิจฉัยตามหมวดที่ ๖ และตามวรรค ๓ ของข้อ ๕๒ ผู้เป็นฝ่ายหนึ่งในกรณีพิพาทจะต้องงดเว้นจากการลงคะแนนเสียง

 

วิธีดำเนินการประชุม

 

ข้อ ๒๘

๑. คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องก่อตั้งขึ้นในลักษณะที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยต่อเนื่อง เพื่อความมุ่งประสงค์นี้สมาชิกแต่ละประเทศของคณะมนตรีความมั่นคง จะมีผู้แทนประจำอยู่ทุกเวลา ณ ที่ตั้งขององค์การฯ

๒. คณะมนตรีความมั่นคงจะประชุมกันเป็นครั้งคราว สมาชิกแต่ละประเทศถ้าปรารถนาก็อาจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล หรือผู้แทนอื่นที่ได้กำหนดตัวเป็นพิเศษ เป็นผู้แทนของตนเข้าร่วมประชุมนั้นได้

๓. คณะมนตรีความมั่นคงอาจประชุม ณ สถานที่อื่นนอกไปจากที่ตั้งขององค์การฯ หากวินิจฉัยว่าจะอำนวยความสะดวกแก่งานของตนได้ดีที่สุด

 

ข้อ ๒๙

คณะมนตรีความมั่นคงอาจสถาปนาองค์กรย่อยเช่นที่เห็นจำเป็นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของตน

 

ข้อ ๓๐

คณะมนตรีความมั่นคง จะกำหนดระเบียบข้อบังคับการประชุมของตนเอง รวมทั้งวิธีคัดเลือกประธานของตนด้วย

 

ข้อ ๓๑

สมาชิกใด ๆ ของสหประชาชาติซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคง อาจเข้าร่วมในการอภิปรายปัญหาใด ๆ ที่จะนำมาสู่คณะมนตรีความมั่นคงได้โดยไม่มีคะแนนเสียง เมื่อคณะมนตรีความมั่นคงพิจารณาว่าผลประโยชน์ของสมาชิกนั้นได้รับความกระทบกระเทือนเป็นพิเศษ

 

ข้อ ๓๒

สมาชิกใด ๆ ของสหประชาชาติซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคง หรือรัฐใด ๆ ที่มิได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ หากตกเป็นฝ่ายหนึ่งในกรณีพิพาท ซึ่งอยู่ภายใต้การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงจะต้องได้รับเชิญให้เข้าร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับกรณีพิพาทนั้นด้วยโดยไม่มีคะแนนเสียง คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องกำหนดเงื่อนไขเช่นที่เห็นว่ายุติธรรมสำหรับการเข้าร่วมในการอภิปรายของรัฐที่มิได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ

 

หมวดที่ ๖

การระงับกรณีพิพาทโดยสันติ

                  

 

ข้อ ๓๓

๑. ผู้เป็นฝ่ายในกรณีพิพาทใด ๆ ซึ่งหากดำเนินอยู่ต่อไปน่าจะเป็นอันตรายแก่การธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ก่อนอื่นจะต้องแสวงหาทางแก้ไขโดยการเจรจา การไต่สวน การไกล่เกลี่ย การประนีประนอม อนุญาโตตุลาการ การระงับโดยทางศาล การอาศัยทบวงการตัวแทนส่วนภูมิภาคหรือข้อตกลงส่วนภูมิภาค หรือสันติวิธีอื่นใดที่คู่กรณีจะพึงเลือก

๒. เมื่อเห็นว่าจำเป็น คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องเรียกร้องให้คู่พิพาทระงับกรณีพิพาทของตนโดยวิธีเช่นว่านั้น

 

ข้อ ๓๔

คณะมนตรีความมั่นคงอาจสืบสวนกรณีพิพาทใด ๆ หรือสถานการณ์ใด ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การกระทบกระทั่งกันระหว่างประเทศ หรือก่อให้เกิดกรณีพิพาท เพื่อกำหนดลงไปว่าการดำเนินอยู่ต่อไปของกรณีพิพาทหรือสถานการณ์นั้น ๆ น่าจะเป็นอันตรายแก่การธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศหรือไม่

 

ข้อ ๓๕

๑. สมาชิกใด ๆ ของสหประชาชาติอาจนำกรณีพิพาทใด ๆ หรือสถานการณ์ใด ๆ อันมีลักษณะตามที่กล่าวถึงในข้อ ๓๔ มาเสนอคณะมนตรีความมั่นคงหรือสมัชชาได้

๒. รัฐที่มิได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติอาจนำกรณีพิพาทใด ๆ ซึ่งตนเป็นฝ่ายหนึ่งในกรณีพิพาทมาเสนอคณะมนตรีความมั่นคงหรือสมัชชาได้ ถ้ารัฐนั้นยอมรับล่วงหน้าซึ่งข้อผูกพันเกี่ยวกับการระงับกรณีพิพาทโดยสันติตามที่บัญญัติไว้ในกฎบัตรฉบับปัจจุบัน เพื่อความมุ่งประสงค์ในการระงับกรณีพิพาท

๓. การดำเนินการพิจารณาของสมัชชา ในเรื่องที่เสนอขึ้นมาตามข้อนี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของข้อ ๑๑ และ ๑๒

 

ข้อ ๓๖

๑. คณะมนตรีความมั่นคงอาจแนะนำวิธีดำเนินการ หรือวิธีการปรับปรุงแก้ไขที่เหมาะสมได้ ไม่ว่าในระยะใด ๆ แห่งการพิพาทอันมีลักษณะตามที่กล่าวถึงในข้อ ๓๓ หรือแห่งสถานการณ์อันมีลักษณะทำนองเดียวกันนั้น

๒. คณะมนตรีความมั่นคงควรพิจารณาวิธีดำเนินการใด ๆ เพื่อระงับกรณีพิพาทซึ่งคู่พิพาทได้รับปฏิบัติแล้ว

๓. ในการทำคำแนะนำตามข้อนี้ คณะมนตรีความมั่นคงควรพิจารณาด้วยว่า กรณีพิพาทในทางกฎหมายนั้นตามหลักทั่วไป ควรให้คู่พิพาทเสนอต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญของศาลนั้น

 

ข้อ ๓๗

๑. หากผู้เป็นฝ่ายในกรณีพิพาทอันมีลักษณะตามที่กล่าวถึงในข้อ ๓๓ ไม่สามารถระงับกรณีพิพาทได้โดยวิธีระบุไว้ในข้อนั้นแล้ว ให้เสนอเรื่องนั้นต่อคณะมนตรีความมั่นคง

๒. ถ้าคณะมนตรีความมั่นคงเห็นว่า โดยพฤติการณ์การดำเนินต่อไปแห่งกรณีพิพาทน่าจะเป็นอันตรายต่อการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศแล้ว ก็ให้วินิจฉัยว่าจะดำเนินการตามข้อ ๓๖ หรือจะแนะนำข้อกำหนดในการระงับกรณีพิพาทเช่นที่อาจพิจารณาเห็นเหมาะสม

 

ข้อ ๓๘

โดยไม่กระทบกระเทือนต่อบทบัญญัติแห่งข้อ ๓๓ ถึง ๓๗ คณะมนตรีความมั่นคงอาจทำคำแนะนำแก่คู่พิพาทด้วยความมุ่งหมายในการระงับกรณีพิพาทโดยสันติ หากผู้เป็นฝ่ายทั้งปวง ในกรณีพิพาทใด ๆ ร้องขอเช่นนั้น

 

หมวดที่ ๗

การดำเนินการเกี่ยวกับการคุกคามต่อสันติภาพ

การละเมิดสันติภาพ และการกระทำการรุกราน

                  

 

ข้อ ๓๙

คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องกำหนดว่า การคุกคามต่อสันติภาพการละเมิดสันติภาพ หรือการกระทำการรุกรานได้มีขึ้นหรือไม่ และจะต้องทำคำแนะนำ หรือวินิจฉัยว่าจะใช้มาตรการใดตามข้อ ๔๑ และ ๔๒ เพื่อธำรงไว้หรือสถาปนากลับคืนมาซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

 

ข้อ ๔๐

เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์ทวีความร้ายแรงยิ่งขึ้น คณะมนตรีความมั่นคงอาจเรียกร้องให้คู่กรณีพิพาทที่เกี่ยวข้องอนุวัตตามมาตรการชั่วคราวเช่นที่เห็นจำเป็นหรือพึงปรารถนา ก่อนที่จะทำคำแนะนำ หรือวินิจฉัยมาตรการตามที่บัญญัติไว้ในข้อ ๓๙ มาตรการชั่วคราวเช่นว่านี้จะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิ สิทธิเรียกร้องหรือฐานะของคู่พิพาทที่เกี่ยวข้องคณะมนตรีความมั่นคงจะต้องคำนึงถึงการไม่สามารถอนุวัตตามมาตรการชั่วคราวเช่นว่านั้นตามสมควร

 

ข้อ ๔๑

คณะมนตรีความมั่นคงอาจวินิจฉัยว่า จะต้องใช้มาตรการใดอันไม่มีการใช้กำลังอาวุธ เพื่อให้เกิดผลตามคำวินิจฉัยของคณะมนตรีและอาจเรียกร้องให้สมาชิกของสหประชาชาติใช้มาตรการเช่นว่านั้น มาตรการเหล่านี้อาจรวมถึงการหยุดชะงักซึ่งความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และการคมนาคมทางรถไฟ ทางทะเล ทางอากาศ ทางไปรษณีย์ ทางโทรเลข ทางวิทยุ และวิถีทางคมนาคมอย่างอื่นโดยสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วน และการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย

 

ข้อ ๔๒

หากคณะมนตรีความมั่นคงพิจารณาว่า มาตรการตามที่บัญญัติไว้ในข้อ ๔๑ จะไม่เพียงพอ หรือได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอ คณะมนตรีฯอาจดำเนินการใช้กำลังทางอากาศ ทางทะเล หรือทางพื้นดิน เช่นที่อาจเห็นจำเป็นเพื่อธำรงไว้ หรือสถาปนากลับคืนมาซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การดำเนินการเช่นว่านี้อาจรวมถึงการแสดงแสนยานุภาพ การปิดล้อมและการปฏิบัติการอย่างอื่นโดยกำลังทางอากาศ ทางทะเล หรือทางพื้นดิน ของบรรดาสมาชิกของสหประชาชาติ

 

ข้อ ๔๓

๑. เพื่อได้มีส่วนเกื้อกูลในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ สมาชิกทั้งปวงของสหประชาชาติ รับที่จะจัดสรรกำลังอาวุธ ความช่วยเหลือ และความสะดวก รวมทั้งสิทธิในการผ่านดินแดนตามที่จำเป็นเพื่อความมุ่งประสงค์ในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ให้แก่คณะมนตรีความมั่นคง เมื่อคณะมนตรีฯ เรียกร้องและเป็นไปตามความตกลงพิเศษฉบับเดียวหรือหลายฉบับ

๒. ความตกลงฉบับเดียวหรือหลายฉบับเช่นว่านั้น จะต้องกำหนดจำนวนและประเภทของกำลัง ขั้นแห่งการเตรียมพร้อมและที่ตั้งโดยทั่วไปของกำลัง และลักษณะของความสะดวกและความช่วยเหลือที่จะจัดหาให้

๓. ให้ดำเนินการเจรจาทำความตกลงฉบับเดียวหรือหลายฉบับนั้นโดยความริเริ่มของคณะมนตรีความมั่นคงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความตกลงเหล่านี้จะต้องทำกันระหว่างคณะมนตรีความมั่นคงและสมาชิก หรือระหว่างคณะมนตรีความมั่นคงและกลุ่มสมาชิก และจะต้องได้รับการสัตยาบันโดยรัฐที่ลงนามตามกระบวนการทางรัฐธรรมนูญของรัฐเหล่านั้น

 

ข้อ ๔๔

เมื่อคณะมนตรีความมั่นคงได้วินิจฉัยที่จะใช้กำลังแล้ว ก่อนที่จะเรียกร้องให้สมาชิกซึ่งมิได้มีผู้แทนอยู่ในคณะมนตรีความมั่นคงจัดส่งกำลังทหารเพื่อการปฏิบัติตามข้อผูกพันที่ได้ยอมรับตามข้อ ๔๓ คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องเชิญสมาชิกนั้นให้เข้าร่วมในการวินิจฉัยของคณะมนตรีความมั่นคงเกี่ยวกับการใช้กองกำลังทหารของสมาชิกนั้น หากสมาชิกนั้นปรารถนาเช่นนั้น

 

ข้อ ๔๕

เพื่อให้สหประชาชาติสามารถดำเนินมาตรการทางทหารได้โดยด่วนสมาชิกจะต้องจัดสรรกองกำลังทางอากาศแห่งชาติไว้ให้พรักพร้อมโดยทันทีเพื่อการดำเนินการบังคับระหว่างประเทศร่วมกัน กำลังและขั้นแห่งการเตรียมพร้อมของกองกำลังเหล่านี้ และแผนการสำหรับการดำเนินการร่วมจะต้องกำหนดโดยคณะมนตรีความมั่นคง ด้วยความช่วยเหลือของคณะกรรมการเสนาธิการทหาร ทั้งนี้ ภายในขอบเขตที่วางไว้ในความตกลงพิเศษฉบับเดียวหรือหลายฉบับที่อ้างถึงในข้อ ๔๓

 

ข้อ ๔๖

แผนการสำหรับการใช้กำลังทหารจะต้องจัดทำโดยคณะมนตรีความมั่นคง ด้วยความช่วยเหลือของคณะกรรมการเสนาธิการทหาร

 

ข้อ ๔๗

๑. ให้จัดสถาปนาคณะกรรมการเสนาธิการทหารขึ้นคณะหนึ่งเพื่อให้คำปรึกษาและช่วยเหลือคณะมนตรีความมั่นคงในปัญหาทั้งปวงที่เกี่ยวกับความต้องการทางทหารของคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อ การธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การใช้และการบังคับบัญชากำลังทหารที่มอบให้อยู่ในอำนาจจัดการของคณะมนตรีฯ การควบคุมกำลังอาวุธ และการลดอาวุธอันจะพึงเป็นไปได้

๒. คณะกรรมการเสนาธิการทหารจะต้องประกอบด้วยเสนาธิการทหารของสมาชิกประจำของคณะมนตรีความมั่นคงหรือผู้แทนของบุคคลเหล่านี้คณะกรรมการฯ จะต้องเชิญสมาชิกของสหประชาชาติที่มิได้มีผู้แทนประจำอยู่ในคณะกรรมการฯ เข้าร่วมงานกับคณะกรรมการฯ ด้วย เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบของคณะกรรมการฯ ให้มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องให้สมาชิกนั้นเข้าร่วมในการทำงานของคณะกรรมการฯ

๓. คณะกรรมการเสนาธิการทหารจะต้องรับผิดชอบภายใต้คณะมนตรีความมั่นคงสำหรับการบัญชาการทางยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการใช้กำลังทหารใด ๆ ซึ่งได้มอบไว้ให้อยู่ในอำนาจจัดการของคณะมนตรีความมั่นคงเรื่องเกี่ยวกับการบังคับบัญชาทหารเช่นว่านั้นจะได้ดำเนินการในภายหลัง

๔. คณะกรรมการเสนาธิการทหารอาจสถาปนาคณะอนุกรรมการส่วนภูมิภาคขึ้นได้ ทั้งนี้ โดยได้รับมอบอำนาจจากคณะมนตรีความมั่นคงและหลังจากได้ปรึกษาหารือกับทบวงการตัวแทนส่วนภูมิภาคที่เหมาะสมแล้ว

 

ข้อ ๔๘

๑. การดำเนินการที่จำเป็นเพื่อปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศจะต้องกระทำโดยสมาชิกของสหประชาชาติทั้งปวงหรือแต่บางประเทศ ตามแต่คณะมนตรีความมั่นคงจะพึงกำหนด

๒. คำวินิจฉัยเช่นว่านั้นจะต้องปฏิบัติตามโดยสมาชิกของสหประชาชาติโดยตรง และโดยผ่านการดำเนินการของสมาชิกเหล่านั้นในทบวงการตัวแทนระหว่างประเทศที่เหมาะสมซึ่งตนเป็นสมาชิกอยู่

 

ข้อ ๔๙

สมาชิกของสหประชาชาติจะต้องร่วมกันอำนวยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการที่คณะมนตรีความมั่นคงได้วินิจฉัยไว้แล้ว

 

ข้อ ๕๐

หากคณะมนตรีความมั่นคงได้ดำเนินมาตรการป้องกันหรือบังคับต่อรัฐใดรัฐอื่นไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของสหประชาชาติหรือไม่ ซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาพิเศษทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปฏิบัติตามมาตรการเหล่านั้น ย่อมมีสิทธิที่จะปรึกษาหารือกับคณะมนตรีความมั่นคงเกี่ยวกับวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านั้น

 

ข้อ ๕๑

ไม่มีข้อความใดในกฎบัตรฉบับปัจจุบันจะรอนสิทธิประจำตัวในการป้องกันตนเองโดยลำพังหรือโดยร่วมกัน หากการโจมตีด้วยกำลังอาวุธบังเกิดแก่สมาชิกของสหประชาชาติ จนกว่าคณะมนตรีความมั่นคงจะได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศมาตรการที่สมาชิกได้ดำเนินไปในการใช้สิทธิป้องกันตนเองนี้จะต้องรายงานให้คณะมนตรีความมั่นคงทราบโดยทันทีและจะต้องไม่กระทบกระเทือนอำนาจและความรับผิดชอบของคณะมนตรีความมั่นคงตามกฎบัตรฉบับปัจจุบันแต่ประการใด ในอันที่จะดำเนินการเช่นที่เห็นจำเป็นไม่ว่าในเวลาใด เพื่อธำรงไว้หรือสถาปนากลับคืนมาซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

 

หมวดที่ ๘

ข้อตกลงส่วนภูมิภาค

                  

 

ข้อ ๕๒

๑. ไม่มีข้อความใดในกฎบัตรฉบับปัจจุบันที่กีดกันการมีข้อตกลงส่วนภูมิภาคหรือทบวงการตัวแทนส่วนภูมิภาค เพื่อการจัดการเรื่องที่เกี่ยวกับการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศเช่นที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินการส่วนภูมิภาค โดยมีเงื่อนไขว่า ข้อตกลงหรือทบวงการตัวแทนเช่นว่าและกิจกรรมนั้นๆ สอดคล้องกับความมุ่งประสงค์และหลักการของสหประชาชาติ

๒. สมาชิกของสหประชาชาติ ที่เข้าร่วมในข้อตกลงเช่นว่านั้นหรือประกอบขึ้นเป็นทบวงการตัวแทนเช่นว่านั้น จะต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะบรรลุถึงการระงับกรณีพิพาทแห่งท้องถิ่นโดยสันติ โดยอาศัยข้อตกลงส่วนภูมิภาคหรือโดยทบวงการตัวแทนส่วนภูมิภาคเช่นว่านั้น ก่อนที่จะเสนอกรณีพิพาทเหล่านั้นไปยังคณะมนตรีความมั่นคง

๓. คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องสนับสนุนพัฒนาการเกี่ยวกับการระงับกรณีพิพาทแห่งท้องถิ่นโดยสันติ โดยอาศัยข้อตกลงส่วนภูมิภาคหรือทบวงการตัวแทนส่วนภูมิภาคเช่นว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มของรัฐที่เกี่ยวข้องหรือโดยการเสนอเรื่องมาจากคณะมนตรีความมั่นคง

๔. ข้อนี้ไม่ทำให้เสื่อมเสียโดยประการใด ๆ ต่อการนำข้อ ๓๔ และ ๓๕ มาใช้บังคับ

 

ข้อ ๕๓

๑. เมื่อเห็นเหมาะสม คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องใช้ประโยชน์จากข้อตกลงส่วนภูมิภาคหรือทบวงการตัวแทนส่วนภูมิภาคเช่นว่านั้น เพื่อการดำเนินการบังคับภายใต้อำนาจของตน แต่จะมีการดำเนินการบังคับตามข้อตกลงส่วนภูมิภาคหรือโดยทบวงการตัวแทนส่วนภูมิภาค โดยปราศจากการมอบอำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงไม่ได้ โดยมีข้อยกเว้นเกี่ยวกับมาตรการที่กระทำต่อรัฐศัตรู ดังที่นิยามไว้ในวรรค ๒ แห่งข้อนี้ ซึ่งได้บัญญัติไว้โดยอนุวัตตามข้อ ๑๐๗ หรือในข้อตกลงส่วนภูมิภาค ซึ่งต่อต้านการรื้อฟื้นนโยบายรุกรานของรัฐศัตรูเช่นว่านั้น จนกว่าจะถึงเวลาที่องค์การฯ อาจเข้ารับผิดชอบเพื่อป้องกันการรุกรานต่อไปโดยรัฐศัตรูเช่นว่าตามคำร้องของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง

๒. คำว่ารัฐศัตรูที่ใช้ในวรรค ๑ แห่งข้อนี้ย่อมนำมาใช้กับรัฐใด ๆ ซึ่งในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้เป็นศัตรูของรัฐที่ลงนามในกฎบัตรฉบับปัจจุบัน

 

ข้อ ๕๔

คณะมนตรีความมั่นคง จะต้องได้รับแจ้งโดยครบถ้วนตลอดเวลาถึงกิจกรรมที่ได้กระทำไป หรืออยู่ในความดำริตามข้อตกลงส่วนภูมิภาคหรือโดยทบวงการตัวแทนส่วนภูมิภาค เพื่อการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

 

หมวดที่ ๙

ความร่วมมือระหว่างประเทศ

ทางเศรษฐกิจ และสังคม

                  

 

ข้อ ๕๕

ด้วยความมุ่งหมายในการสถาปนาภาวการณ์แห่งเสถียรภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งจำเป็นสำหรับความสัมพันธ์โดยสันติและโดยฉันมิตรระหว่างประชาชาติทั้งหลาย โดยยึดความเคารพต่อหลักการแห่งสิทธิอันเท่าเทียมกันและการกำหนดเจตจำนงของตนเองของประชาชนเป็นมูลฐานสหประชาชาติจะต้องส่งเสริม

ก. มาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น การมีงานทำโดยทั่วถึง และภาวการณ์แห่งความก้าวหน้าและพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคม

ข. การแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศทางเศรษฐกิจ สังคม อนามัยและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และความร่วมมือระหว่างประเทศทางวัฒนธรรมและการศึกษา และ

ค. การเคารพโดยสากล และการปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพอันเป็นหลักมูลสำหรับทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติในเรื่องเชื้อชาติ เพศ ภาษา หรือศาสนา

 

ข้อ ๕๖

สมาชิกทั้งปวงให้คำมั่นว่าตนจะดำเนินการร่วมกันและแยกกัน ในการร่วมมือกับองค์การฯ เพื่อให้บรรลุความมุ่งประสงค์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๕๕

 

ข้อ ๕๗

๑. ทบวงการชำนัญพิเศษต่าง ๆ ที่ได้สถาปนาขึ้น โดยความตกลงระหว่างรัฐบาล และมีความรับผิดชอบระหว่างประเทศอย่างกว้างขวางทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา อนามัยและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องดังได้นิยามไว้ในตราสารก่อตั้งของตน จะต้องนำเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับสหประชาชาติตามบทบัญญัติของข้อ ๖๓

๒. ทบวงการตัวแทนเช่นว่านี้ด้วยเหตุที่ได้นำเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับสหประชาชาติ ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า ทบวงการชำนัญพิเศษ

 

ข้อ ๕๘

องค์การฯ จะต้องทำคำแนะนำสำหรับการประสานนโยบายและกิจกรรมของทบวงการชำนัญพิเศษ

 

ข้อ ๕๙

เมื่อเห็นเหมาะสม องค์การฯ จำต้องริเริ่มการเจรจาระหว่างรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อการก่อตั้งทบวงการชำนัญพิเศษใหม่ใด ๆ อันจำเป็นเพื่อให้สำเร็จผลตามความมุ่งประสงค์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๕๕

 

ข้อ ๖๐

ความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ขององค์การฯ ตามที่กำหนดไว้ในหมวดนี้จะต้องมอบให้แก่สมัชชา และภายใต้อำนาจของสมัชชาแก่คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะต้องมีอำนาจเพื่อความมุ่งประสงค์นี้ตามที่กำหนดไว้ในหมวดที่ ๑๐

 

หมวดที่ ๑๐

คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม

                  

 

องค์ประกอบ

 

ข้อ ๖๑

๑. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมจะต้องประกอบด้วยสมาชิกของสหประชาชาติห้าสิบสี่ประเทศซึ่งเลือกตั้งขึ้นโดยสมัชชา

๒. ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของวรรค ๓ แต่ละปีสมาชิกของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมสิบแปดประเทศจะได้รับเลือกตั้งเป็นกำหนดเวลาสามปี สมาชิกที่กำลังพ้นตำแหน่งมีสิทธิเข้ารับเลือกตั้งซ้ำทันที

๓. ในการเลือกตั้งครั้งแรกหลักจากเพิ่มจำนวนสมาชิก ในคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมจากยี่สิบเจ็ดประเทศเป็นห้าสิบสี่ประเทศ นอกจากสมาชิกที่ได้รับเลือกเพื่อแทนที่สมาชิกเก้าประเทศซึ่งกำหนดเวลาดำรงตำแหน่งจะสิ้นสุดลงในปลายปีนั้นแล้ว จะได้เลือกสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบเจ็ดประเทศ สมาชิกที่ได้รับเลือกเพิ่มขึ้นยี่สิบเจ็ดประเทศนี้ กำหนดเวลาดำรงตำแหน่งของสมาชิกเก้าประเทศที่ได้รับเลือกจะสิ้นสุดลงในปลายปีแรก และของสมาชิกอีกเก้าประเทศจะสิ้นสุดลงในปลายปีที่สอง ตามข้อตกลงที่สมัชชาได้ทำไว้

๔. สมาชิกแต่ละประเทศของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมจะมีผู้แทนได้หนึ่งคน

 

หน้าที่และอำนาจ

 

ข้อ ๖๒

๑. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม อาจทำหรือริเริ่มการศึกษาและรายงานเกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา อนามัยและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และอาจทำคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องเช่นว่านั้นเสนอต่อสมัชชา ต่อสมาชิกของสหประชาชาติ และต่อทบวงการชำนัญพิเศษที่เกี่ยวข้อง

๒. คณะมนตรีฯ อาจทำคำแนะนำเพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะส่งเสริมการเคารพ และการปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพอันเป็นหลักมูลสำหรับทุกคน

๓. คณะมนตรีฯ อาจจัดเตรียมร่างอนุสัญญา เพื่อเสนอต่อสมัชชาเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของคณะมนตรีฯ

๔. คณะมนตรีฯ อาจเรียกประชุมระหว่างประเทศ ในเรื่องทั้งหลายที่ตกอยู่ในขอบเขตอำนาจของคณะมนตรีฯ ตามข้อบังคับที่สหประชาชาติกำหนดไว้

 

ข้อ ๖๓

๑. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม อาจเข้าทำความตกลงกับทบวงการตัวแทนใด ๆ ที่อ้างถึงในข้อ ๕๗ ซึ่งวางข้อกำหนดในการนำทบวงการตัวแทนที่เกี่ยวข้องเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับสหประชาชาติความตกลงเช่นว่านั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสมัชชา

๒. คณะมนตรีฯ อาจประสานกิจกรรมของทบวงการชำนัญพิเศษโดยการปรึกษาหารือ และการทำคำแนะนำต่อทบวงการตัวแทนเช่นว่านั้นและโดยการทำคำแนะนำต่อสมัชชา และต่อสมาชิกของสหประชาชาติ

 

ข้อ ๖๔

๑. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมอาจดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อให้ได้รับรายงานโดยสม่ำเสมอจากทบวงการชำนัญพิเศษ คณะมนตรีอาจทำข้อตกลงกับสมาชิกของสหประชาชาติและกับทบวงการชำนัญพิเศษ เพื่อให้ได้รับรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการซึ่งได้ทำไปแล้ว เพื่อให้บังเกิดผลตามคำแนะนำของตนและตามคำแนะนำของสมัชชา ในเรื่องที่ตกอยู่ในขอบเขตอำนาจของคณะมนตรีฯ

๒. คณะมนตรีฯ อาจแจ้งข้อสังเกตของตนเกี่ยวกับรายงานเหล่านี้ต่อสมัชชา

 

ข้อ ๖๕

คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม อาจจัดหาข้อสนเทศให้แก่คณะมนตรีความมั่นคง และจะต้องช่วยเหลือคณะมนตรีความมั่นคงในเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงร้องขอ

 

ข้อ ๖๖

๑. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมจะต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ตกอยู่ในขอบเขตอำนาจของตนเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำแนะนำของสมัชชา

๒. ด้วยความเห็นชอบของสมัชชา คณะมนตรีฯ อาจปฏิบัติการตามคำร้องขอของสมาชิกของสหประชาชาติ และตามคำร้องขอของทบวงการชำนัญพิเศษ

๓. คณะมนตรีฯ จะปฏิบัติหน้าที่อื่นเช่นที่ระบุไว้ในที่อื่นใดในกฎบัตรฉบับปัจจุบัน หรือเช่นที่สมัชชาอาจมอบหมายให้

 

การลงคะแนนเสียง

 

ข้อ ๖๗

๑. สมาชิกแต่ละประเทศของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม จะมีคะแนนเสียงหนึ่งคะแนน

คำวินิจฉัยของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม จะต้องกระทำโดยเสียงข้างมากของสมาชิกที่มาประชุมและลงคะแนนเสียง

 

วิธีดำเนินการประชุม

 

ข้อ ๖๘

คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมจะต้องจัดตั้งคณะกรรมาธิการต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม และสำหรับการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และคณะกรรมาธิการอื่นเช่นที่อาจจำเป็นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของตน

 

ข้อ ๖๙

คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม จะต้องเชิญสมาชิกใด ๆ ของสหประชาชาติให้เข้าร่วมโดยไม่มีคะแนนเสียง ในการพิจารณาของคณะมนตรีฯ ในเรื่องใด ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับสมาชิกนั้น

 

ข้อ ๗๐

คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม อาจทำข้อตกลงสำหรับผู้แทนของทบวงการชำนัญพิเศษ ที่จะเข้าร่วมโดยไม่มีคะแนนเสียงในการพิจารณาของคณะมนตรีฯ และในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการที่คณะมนตรีฯ ได้สถาปนาขึ้น และสำหรับผู้แทนของตนที่จะเข้าร่วมในการพิจารณาของทบวงการชำนัญพิเศษ

 

ข้อ ๗๑

คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม อาจทำข้อตกลงที่เหมาะสมเพื่อการปรึกษาหารือกับองค์การที่มิใช่ของรัฐบาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องอันอยู่ภายในขอบเขตอำนาจของตน ข้อตกลงเช่นว่าอาจทำกับองค์การระหว่างประเทศและเมื่อเห็นเหมาะสมกับองค์การแห่งชาติ หลังจากการปรึกษาหารือกับสมาชิกของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องแล้ว

 

ข้อ ๗๒

๑. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม จะกำหนดระเบียบข้อบังคับการประชุมของตนเอง รวมทั้งวิธีคัดเลือกประธานของตนด้วย

๒. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม จะต้องประชุมกันเท่าที่จำเป็นตามระเบียบข้อบังคับของตน ซึ่งจะต้องรวมบทบัญญัติสำหรับเรียกประชุมตามคำร้องขอของสมาชิกเสียงข้างมากของคณะมนตรีฯ ไว้ด้วย

 

หมวดที่ ๑๑

ปฏิญญาว่าด้วยดินแดนที่ยังมิได้ปกครองตนเอง

                  

 

ข้อ ๗๓

สมาชิกของสหประชาชาติ ซึ่งมีหรือเข้ารับเอาความรับผิดชอบในการปกครองดินแดน ซึ่งประชาชนยังมิได้มาซึ่งการปกครองตนเองโดยสมบูรณ์ ยอมรับหลักการว่าผลประโยชน์ของประชาชนผู้อาศัยในดินแดนเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และยอมรับเป็นภาระมอบหมายอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งข้อผูกพันที่จะส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนผู้อาศัยในดินแดนเหล่านี้อย่างสุดกำลัง ภายในระบบแห่งสันติภาพ และความมั่นคงระหว่างประเทศที่ได้สถาปนาขึ้นโดยกฎบัตรฉบับปัจจุบัน และเพื่อจุดหมายปลายทางนี้

ก. จะประกันความรุดหน้าทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและการศึกษา การปฏิบัติอันเที่ยงธรรมและการคุ้มครองให้พ้นจากการใช้สิทธิในทางมิชอบ ทั้งนี้ด้วยความเคารพตามสมควรต่อวัฒนธรรมของประชาชนที่เกี่ยวข้อง

ข. จะพัฒนาการปกครองตนเอง จะคำนึงตามสมควรถึงปณิธานทางการเมืองของประชาชน และจะช่วยเหลือประชาชนเหล่านี้ในการพัฒนาสถาบันอิสระทางการเมืองให้ก้าวหน้าตามพฤติการณ์ โดยเฉพาะของดินแดนแต่ละแห่ง และของประชาชนในดินแดนนั้น และขั้นแห่งความรุดหน้าอันต่างกันของประชาชนเหล่านั้น

ค. จะส่งเสริมสันติภาพ และความมั่นคงระหว่างประเทศ

ง. จะส่งเสริมมาตรการแห่งพัฒนาการในเชิงสร้างสรรค์ จะสนับสนุนการวิจัย และจะร่วมมือซึ่งกันและกัน และเมื่อใด และ ณ ที่ใดที่เห็นเหมาะสม กับองค์กรชำนัญพิเศษระหว่างประเทศด้วยความมุ่งหมายเพื่อให้บรรลุความมุ่งประสงค์โดยแท้จริงทางสังคม เศรษฐกิจและวิทยาศาสตร์ดังกล่าวไว้ในข้อนี้ และ

จ. จะส่งข้อสนเทศทางสถิติและทางอื่น อันมีลักษณะทางวิชาการเกี่ยวกับภาวการณ์ทางเศรษฐกิจสังคม และการศึกษาในดินแดนซึ่งตนรับผิดชอบโดยลำดับ นอกเหนือไปจากดินแดนที่หมวดที่ ๑๒ และ ๑๓ ใช้บังคับ ให้แก่เลขาธิการโดยสม่ำเสมอเพื่อความมุ่งประสงค์ในการสารนิเทศทั้งนี้ภายใต้บังคับแห่งข้อจำกัดเช่นที่ข้อพิจารณาทางความมั่นคงและรัฐธรรมนูญจะพึงมี

 

ข้อ ๗๔

สมาชิกของสหประชาชาติตกลงด้วยว่า นโยบายของตนเกี่ยวกับดินแดนที่หมวดนี้ใช้บังคับอยู่จะต้องยึดหลักการทั่วไปแห่งความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีเป็นมูลฐาน ไม่น้อยไปกว่าที่เกี่ยวกับเขตนครหลวงของตนเอง ทั้งนี้ โดยคำนึงตามสมควรถึงผลประโยชน์ และความเป็นอยู่ที่ดีของส่วนอื่นของโลกในเรื่องทางสังคม เศรษฐกิจ และการพาณิชย์ด้วย

 

หมวดที่ ๑๒

ระบบภาวะทรัสตีระหว่างประเทศ

                  

 

ข้อ ๗๕

สหประชาชาติจะสถาปนาขึ้นภายใต้อำนาจของตน ซึ่งระบบภาวะทรัสตีระหว่างประเทศ เพื่อการปกครองและการควบคุมดูแลดินแดนเช่นที่อาจจะนำเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบนี้ โดยความตกลงเป็นราย ๆ ไปในภายหลังดินแดนเหล่าต่อไปในที่นี้จะเรียกว่าดินแดนทรัสตี

 

ข้อ ๗๖

วัตถุประสงค์มูลฐานของระบบภาวะทรัสตี ตามความมุ่งประสงค์ของสหประชาชาติ ที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑ ของกฎบัตรฉบับปัจจุบัน คือ

ก. ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

ข. ส่งเสริมความรุดหน้าทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและการศึกษาของประชาชนผู้อาศัยอยู่ในดินแดนทรัสตีเหล่านั้นและพัฒนาการก้าวหน้าไปสู่การปกครองตนเอง หรือเอกราชตามความเหมาะสมแห่งพฤติการณ์โดยเฉพาะของดินแดนแต่ละแห่งและของประชาชน และความปรารถนาอันแสดงออกโดยอิสระของประชาชนที่เกี่ยวข้อง และตามแต่ข้อกำหนดของความตกลงภาวะทรัสตีแต่ละรายจะวางไว้

ค. สนับสนุนความเคารพต่อสิทธิมนุษยชน และอิสรภาพอันเป็นหลักมูลสำหรับทุกคน โดยไม่เลือกปฏิบัติในเรื่องเชื้อชาติ เพศ ภาษาหรือศาสนา และสนับสนุนการยอมรับในการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของประชาชนของโลก และ

ง. ประกันการปฏิบัติอันเท่าเทียมกันในเรื่องทางสังคมเศรษฐกิจ และการพาณิชย์สำหรับสมาชิกทั้งปวงของสหประชาชาติ และคนชาติของสมาชิกเหล่านั้น และการปฏิบัติอันเท่าเทียมกันสำหรับคนชาติของประเทศสมาชิกในการอำนวยความยุติธรรมด้วย ทั้งนี้ โดยไม่กระทบกระเทือนต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้น และภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของข้อ ๘๐

 

ข้อ ๗๗

๑. ระบบภาวะทรัสตีจะต้องนำมาใช้บังคับกับดินแดนในประเทศดังต่อไปนี้ เช่น ที่อาจนำมาไว้ภายใต้ระบบนี้ โดยวิถีทางแห่งความตกลงภาวะทรัสตี

ก. ดินแดนซึ่งบัดนี้อยู่ภายใต้อาณัติ

ข. ดินแดนซึ่งอาจแยกมาจากรัฐศัตรู โดยผลแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง และ

ค. ดินแดนซึ่งรัฐที่รับผิดชอบในการปกครองได้นำเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบนี้โดยสมัครใจ

๒. เป็นเรื่องที่จะทำความตกลงกันภายหลังว่าจะให้นำดินแดนใดในประเภทที่กล่าวข้างต้นมาอยู่ภายใต้ระบบภาวะทรัสตี และโดยมีข้อกำหนดอย่างไรบ้าง

 

ข้อ ๗๘

ระบบภาวะทรัสตีจะต้องไม่นำมาใช้บังคับกับดินแดนที่ได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติแล้ว ซึ่งสัมพันธภาพระหว่างกันจำต้องยึดความเคารพต่อหลักการแห่งความเสมอภาคในอธิปไตยเป็นมูลฐาน

 

ข้อ ๗๙

ข้อกำหนดแห่งภาวะทรัสตีสำหรับแต่ละดินแดน อันจะนำมาอยู่ภายใต้ระบบภาวะทรัสตี รวมทั้งข้อเปลี่ยนแปลงหรือข้อแก้ไขใด ๆ จะต้องได้รับการตกลงโดยรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรง รวมทั้งประเทศที่ใช้อำนาจอาณัติในกรณีที่เป็นดินแดนภายใต้อาณัติอันสมาชิกของสหประชาชาติได้รับมอบหมายและจะต้องได้รับความเห็นชอบตามที่บัญญัติไว้ในข้อ ๘๓ และ ๘๕

 

ข้อ ๘๐

๑. นอกจากที่อาจได้ตกลงไว้ในความตกลงภาวะทรัสตีเป็นราย ๆ ไปซึ่งทำขึ้นตามข้อ ๗๗, ๗๙ และ ๘๑ โดยนำเอาดินแดนแต่ละแห่งมาอยู่ภายใต้ระบบภาวะทรัสตี และจนกว่าจะได้ทำความตกลงเช่นว่านั้นแล้ว ไม่มีข้อความใดในหมวดนี้จะแปลความในหรือโดยตัวเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะใด ๆ ซึ่งสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของรัฐหรือประชาชนใด ๆ หรือซึ่งข้อกำหนดในตราสารระหว่างประเทศที่มีอยู่ ซึ่งสมาชิกของสหประชาชาติอาจเป็นภาคีตามลำดับ

๒. วรรค ๑ ของข้อนี้จะต้องไม่ตีความไปในทางที่ถือเป็นมูลเหตุสำหรับการหน่วงเหนี่ยวให้ช้า หรือการผลัดเลื่อนการเจรจา และการทำความตกลง เพื่อนำดินแดนในอาณัติและดินแดนอื่นมาไว้ภายใต้ระบบภาวะทรัสตีตามที่บัญญัติไว้ในข้อ ๗๗

 

ข้อ ๘๑

ความตกลงภาวะทรัสตีในแต่ละกรณี จะต้องรวมไว้ซึ่งข้อกำหนดตามที่ดินแดนทรัสตีจะถูกปกครอง และจะกำหนดตัวผู้ทรงอำนาจ ซึ่งจะทำการปกครองดินแดนทรัสตี ผู้ทรงอำนาจเช่นว่านี้ ซึ่งต่อไปในที่นี้จะเรียกว่าผู้ใช้อำนาจปกครอง อาจเป็นรัฐเดียว หรือมากกว่านั้น หรือองค์การสหประชาชาติเองก็ได้

 

ข้อ ๘๒

ในความตกลงภาวะทรัสตีรายใดรายหนึ่ง อาจมีการกำหนดเขตยุทธศาสตร์เขตหนึ่งหรือหลายเขตซึ่งอาจรวมดินแดนทรัสตีแต่บางส่วนหรือทั้งหมดที่ความตกลงใช้บังคับอยู่ โดยไม่กระทบกระเทือนต่อความตกลงพิเศษฉบับใดฉบับหนึ่ง หรือหลายฉบับที่ทำไว้ตามข้อ ๔๓

 

ข้อ ๘๓

๑. หน้าที่ทั้งปวงของสหประชาชาติเกี่ยวกับเขตยุทธศาสตร์ รวมทั้งการให้ความเห็นชอบต่อข้อกำหนดของความตกลงภาวะทรัสตี และต่อข้อเปลี่ยนแปลงหรือข้อแก้ไขจะต้องกระทำโดยคณะมนตรีความมั่นคง

๒. วัตถุประสงค์มูลฐานที่กล่าวไว้ในข้อ ๗๖ จะต้องนำมาใช้บังคับได้กับประชาชนของเขตยุทธศาสตร์แต่ละเขต

๓. ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของความตกลงภาวะทรัสตี และโดยไม่กระทบกระเทือนต่อข้อพิจารณาทางความมั่นคง คณะมนตรีความมั่นคงจะถือเอาประโยชน์แห่งความช่วยเหลือของคณะมนตรีภาวะทรัสตี ในการปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ของสหประชาชาติ ภายใต้ระบบภาวะทรัสตีเกี่ยวกับเรื่องทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการศึกษาในเขตยุทธศาสตร์เหล่านั้น

 

ข้อ ๘๔

เป็นหน้าที่ของผู้ใช้อำนาจปกครอง ที่จะประกันว่าดินแดนทรัสตีจะต้องมีส่วนในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศเพื่อจุดหมายปลายทางนี้ ผู้ใช้อำนาจปกครองอาจใช้ประโยชน์จากกองทหารอาสาสมัคร ความสะดวก และความช่วยเหลือจากดินแดนทรัสตีในการปฏิบัติตามข้อผูกพันต่อคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งผู้ใช้อำนาจปกครองเข้ารับดำเนินการในเรื่องนี้ ตลอดจนการป้องกันดินแดนและการธำรงไว้ซึ่งกฎหมายและระเบียบภายในดินแดนทรัสตีนั้น

 

ข้อ ๘๕

๑. หน้าที่ของสหประชาชาติเกี่ยกับความตกลงภาวะทรัสตีสำหรับเขตทั้งปวงที่มิได้กำหนดให้เป็นเขตยุทธศาสตร์ รวมทั้งการให้ความเห็นชอบต่อข้อกำหนดของความตกลงภาวะทรัสตี และต่อข้อเปลี่ยนแปลงหรือข้อแก้ไขจะต้องกระทำโดยสมัชชา

๒. คณะมนตรีภาวะทรัสตี ซึ่งดำเนินการภายใต้อำนาจของสมัชชาจะต้องช่วยเหลือสมัชชาในการปฏิบัติตามหน้าที่เหล่านี้

 

หมวดที่ ๑๓

คณะมนตรีภาวะทรัสตี

                  

 

องค์ประกอบ

 

ข้อ ๘๖

๑. คณะมนตรีภาวะทรัสตี จะต้องประกอบด้วยสมาชิกของสหประชาชาติดังต่อไปนี้

ก. สมาชิกที่ปกครองดินแดนทรัสตี

ข. สมาชิกที่ได้ระบุนามไว้ในข้อ ๒๓ ซึ่งมิได้ปกครองดินแดนทรัสตี และ

ค. สมาชิกอื่น ๆ ซึ่งสมัชชาได้เลือกตั้งขึ้นมีกำหนดเวลาสามปีเท่าจำนวนที่จำเป็น เพื่อประกันว่าจำนวนรวมของสมาชิกของคณะมนตรีภาวะทรัสตีจะแบ่งออกได้เท่ากัน ระหว่างจำนวนสมาชิกของสหประชาชาติที่ปกครองดินแดนทรัสตีและที่ไม่ได้ปกครอง

๒. สมาชิกแต่ละประเทศของคณะมนตรีภาวะทรัสตี จะต้องกำหนดบุคคลที่มีคุณสมบัติเฉพาะคนหนึ่งเป็นผู้แทนในคณะมนตรีฯ

 

หน้าที่และอำนาจ

 

ข้อ ๘๗

ในการปฏิบัติตามหน้าที่ สมัชชาและคณะมนตรีภาวะทรัสตีภายใต้อำนาจของสมัชชาอาจ

ก. พิจารณารายงานซึ่งเสนอโดยผู้ใช้อำนาจปกครอง

ข. รับคำร้องทุกข์ และตรวจสอบคำร้องเหล่านั้น โดยปรึกษาหารือกับผู้ใช้อำนาจปกครอง

ค. จัดให้มีการเยี่ยมเยียนดินแดนทรัสตีเป็นครั้งคราว โดยลำดับตามกำหนดเวลาที่จะได้ตกลงกับผู้ใช้อำนาจปกครอง และ

ง. ดำเนินการเหล่านี้และอื่น ๆ โดยสอดคล้องกับข้อกำหนดแห่งความตกลงภาวะทรัสตี

 

ข้อ ๘๘

คณะมนตรีภาวะทรัสตีจะต้องจัดทำแบบสอบถาม เกี่ยวกับความรุดหน้าทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการศึกษาของประชาชนผู้อาศัยในดินแดนทรัสตีแต่ละแห่ง และผู้ใช้อำนาจปกครองของดินแดนทรัสตีแต่ละแห่งภายในขอบเขตอำนาจของสมัชชาจะต้องทำรายงานประจำปีเสนอต่อสมัชชา โดยอาศัยมูลฐานแห่งแบบสอบถามเช่นว่านั้น

 

การลงคะแนนเสียง

 

ข้อ ๘๙

๑. สมาชิกแต่ละประเทศของคณะมนตรีภาวะทรัสตีจะมีคะแนนเสียงหนึ่งคะแนน

๒. คำวินิจฉัยของคณะมนตรีภาวะทรัสตีจะต้องกระทำโดยเสียงข้างมากของสมาชิกที่มาประชุมและลงคะแนนเสียง

 

วิธีดำเนินการประชุม

 

ข้อ ๙๐

๑. คณะมนตรีภาวะทรัสตี จะกำหนดระเบียบข้อบังคับการประชุมของตนเอง รวมทั้งวิธีคัดเลือกประธานของตนด้วย

๒. คณะมนตรีภาวะทรัสตีจะต้องประชุมกันเท่าที่จำเป็นตามระเบียบข้อบังคับของตน ซึ่งจะรวมบทบัญญัติสำหรับเรียกประชุมตามคำร้องขอของสมาชิกเสียงข้างมากของคณะมนตรีฯ ด้วย

 

ข้อ ๙๑

เมื่อเห็นเหมาะสม คณะมนตรีภาวะทรัสตีจะต้องถือเอาประโยชน์แห่งความช่วยเหลือของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม และของทบวงการชำนัญพิเศษเกี่ยวกับเรื่องซึ่งคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมและทบวงการชำนัญพิเศษเกี่ยวข้องอยู่โดยลำดับ

 

หมวดที่ ๑๔

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

                  

 

ข้อ ๙๒

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะเป็นองค์กรทางตุลาการอันสำคัญของสหประชาชาติ ศาลฯ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามธรรมนูญผนวกท้าย ซึ่งยึดธรรมนูญศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นมูลฐานและซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกับกฎบัตรฉบับปัจจุบัน

 

ข้อ ๙๓

๑. สมาชิกทั้งปวงของสหประชาชาติย่อมเป็นภาคีแห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยพฤตินัย

๒. รัฐซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ อาจเป็นภาคีแห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ โดยเงื่อนไขซึ่งสมัชชาจะได้กำหนดในแต่ละรายตามคำแนะนำของคณะมนตรีความมั่นคง

 

ข้อ ๙๔

๑. สมาชิกแต่ละประเทศของสหประชาชาติ รับที่จะอนุวัตตามคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีใด ๆ ที่ตนตกเป็นฝ่ายหนึ่ง

๒. ถ้าผู้เป็นฝ่ายในคดีฝ่ายใดไม่สามารถปฏิบัติตามข้อผูกพันซึ่งตกอยู่แก่ตนตามคำพิพากษาของศาล ผู้เป็นฝ่ายอีกฝ่ายหนึ่งอาจร้องเรียนไปยังคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งถ้าเห็นจำเป็นก็อาจทำคำแนะนำหรือวินิจฉัยมาตรการที่จะดำเนินเพื่อให้เกิดผลตามคำพิพากษานั้น

 

ข้อ ๙๕

ไม่มีข้อความใดในกฎบัตรฉบับปัจจุบัน จะหวงห้ามสมาชิกของสหประชาชาติมิให้มอบหมายการแก้ไขข้อขัดแย้งของตนต่อศาลอื่น โดยอาศัยอำนาจตามความตกลงที่ได้มีอยู่แล้วหรือที่อาจจะทำขึ้นในอนาคต

 

ข้อ ๙๖

๑. สมัชชาหรือคณะมนตรีความมั่นคง อาจร้องขอต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อให้ความเห็นแนะนำในปัญหากฎหมายใด ๆ

๒. องค์กรอื่นของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษ ซึ่งอาจได้รับอำนาจจากสมัชชาในเวลาใด ๆ อาจร้องขอความเห็นแนะนำของศาลเกี่ยวกับปัญหากฎหมายอันเกิดขึ้นภายในขอบข่ายแห่งกิจกรรมของตน

 

หมวดที่ ๑๕

สำนักเลขาธิการ

                  

 

ข้อ ๙๗

สำนักเลขาธิการจะต้องประกอบด้วยเลขาธิการหนึ่งคน และพนักงานเท่าที่องค์การฯ อาจเห็นจำเป็น เลขาธิการจะต้องได้รับการแต่งตั้งโดยสมัชชาตามคำแนะนำของคณะมนตรีความมั่นคง เลขาธิการจะต้องเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารขององค์การฯ

 

ข้อ ๙๘

เลขาธิการจะต้องปฏิบัติการในตำแหน่งหน้าที่นั้น ในการประชุมทั้งปวงของสมัชชา ของคณะมนตรีความมั่นคง ของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม และของคณะมนตรีภาวะทรัสตี และจะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างอื่นเช่นที่องค์กรเหล่านี้จะพึงมอบหมายให้ เลขาธิการจะต้องทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับงานขององค์การฯ เสนอต่อสมัชชา

 

ข้อ ๙๙

เลขาธิการอาจนำเรื่องใด ๆ ซึ่งตามความเห็นของตนอาจคุกคามการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศมาเสนอให้คณะมนตรีความมั่นคงทราบ

 

ข้อ ๑๐๐

๑. ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน เลขาธิการและพนักงานจะต้องไม่ขอหรือรับคำสั่งจากรัฐบาลใด ๆ หรือจากเจ้าหน้าที่อื่นใดภายนอกองค์การฯ บุคคลเหล่านี้จะต้องละเว้นจากการดำเนินการใด ๆ ซึ่งอาจมีผลสะท้อนถึงตำแหน่งหน้าที่ของตนในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ระหว่างประเทศ ซึ่งรับผิดชอบต่อองค์การฯ เท่านั้น

๒. สมาชิกแต่ละประเทศของสหประชาชาติ รับที่จะเคารพต่อความรับผิดชอบของเลขาธิการและพนักงาน อันมีลักษณะระหว่างประเทศโดยเฉพาะ และจะไม่พยายามใช้อิทธิพลต่อบุคคลเหล่านั้นในการปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเขา

 

ข้อ ๑๐๑

๑. พนักงานจะต้องได้รับการแต่งตั้งโดยเลขาธิการ ตามข้อบังคับที่สมัชชาได้สถาปนาขึ้น

๒. พนักงานที่เหมาะสมจะต้องได้รับมอบหมายให้ไปประจำอยู่เป็นการถาวรในคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม ในคณะมนตรีภาวะทรัสตีและในองค์กรอื่นของสหประชาชาติตามที่จำเป็น พนักงานเหล่านี้จะต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของสำนักเลขาธิการ

๓. ข้อพิจารณาอันสำคัญยิ่งในการว่าจ้างพนักงาน และในการกำหนดเงื่อนไขแห่งบริการได้แก่ความจำเป็นที่จะต้องให้ได้มาซึ่งมาตรฐานอันสูงสุดแห่งสมรรถภาพ ความสามารถ และความซื่อสัตย์มั่นคงจะต้องคำนึงตามสมควรถึงความสำคัญในการจัดหาพนักงาน โดยยึดมูลฐานทางภูมิศาสตร์ให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะกระทำได้

 

หมวดที่ ๑๖

บทเบ็ดเตล็ด

                  

 

ข้อ ๑๐๒

๑. สนธิสัญญาทุกฉบับ และความตกลงระหว่างประเทศทุกฉบับซึ่งสมาชิกใด ๆ ของสหประชาชาติได้เข้าเป็นภาคีภายหลังที่กฎบัตรฉบับปัจจุบันได้ใช้บังคับ จะต้องจดทะเบียนไว้กับสำนักเลขาธิการโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะต้องพิมพ์โฆษณาโดยสำนักเลขาธิการนี้

๒. ภาคีแห่งสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศเช่นว่าใด ๆ ซึ่งมิได้จดทะเบียนไว้ตามบทบัญญัติในวรรค ๑ ของข้อนี้ไม่อาจยกเอาสนธิสัญญาหรือความตกลงนั้น ๆ ขึ้นกล่าวอ้างต่อองค์กรใด ๆ ของสหประชาชาติ

 

ข้อ ๑๐๓

ในกรณีแห่งการขัดแย้งระหว่างข้อผูกพันของสมาชิกของสหประชาชาติตามกฎบัตรฉบับปัจจุบันและตามข้อผูกพันตามความตกลงระหว่างประเทศอื่นใด ข้อผูกพันตามกฎบัตรฉบับปัจจุบันจะต้องใช้บังคับ

 

ข้อ ๑๐๔

องค์การฯ จะมีความสามารถทางกฎหมายในดินแดนของสมาชิกแต่ละประเทศขององค์การฯ เท่าที่จำเป็น เพื่อการปฏิบัติหน้าที่และเพื่อให้บรรลุผลตามความมุ่งประสงค์ขององค์การฯ

 

ข้อ ๑๐๕

๑. องค์การฯ จะอุปโภคเอกสิทธิและความคุ้มกันในดินแดนของสมาชิกแต่ละประเทศขององค์การฯ เท่าที่จำเป็น เพื่อให้บรรลุผลตามความมุ่งประสงค์ขององค์การฯ

๒. ผู้แทนของสมาชิกของสหประชาชาติ และเจ้าหน้าที่ขององค์การฯ จะอุปโภค เอกสิทธิและความคุ้มกันเช่นว่านั้นเท่าที่จำเป็น เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนเกี่ยวกับองค์การฯ โดยอิสระ

๓. สมัชชาอาจทำคำแนะนำ ด้วยความมุ่งหมายในการกำหนดรายละเอียดของการนำวรรค ๑ และ ๒ ของข้อนี้มาใช้บังคับ หรืออาจเสนออนุสัญญาต่อสมาชิกของสหประชาชาติ เพื่อความมุ่งประสงค์นี้

 

หมวดที่ ๑๗

ข้อตกลงเฉพาะกาลเกี่ยวกับความมั่นคง

                  

 

ข้อ ๑๐๖

ในระหว่างที่ความตกลงพิเศษดังที่อ้างถึงในข้อ ๔๓ ยังมิได้ใช้บังคับ ซึ่งตามความเห็นของคณะมนตรีความมั่นคง จะช่วยให้ตนได้เริ่มปฏิบัติตามความรับผิดชอบของตนตามข้อ ๔๒ ภาคีแห่งปฏิญญาสี่ประชาชาติได้ลงนามกัน ณ กรุงมอสโกในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๔๓ และฝรั่งเศสจะปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน และกับสมาชิกอื่น ๆ ของสหประชาชาติ

เมื่อจำเป็น ตามบทบัญญัติของวรรค ๕ ของปฏิญญานั้น ด้วยความมุ่งหมายที่จะดำเนินการร่วมกันในนามขององค์การฯ เช่นที่อาจจำเป็น เพื่อความมุ่งประสงค์ในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

 

ข้อ ๑๐๗

ไม่มีข้อความใดในกฎบัตรฉบับปัจจุบัน จะทำให้ไม่สมบูรณ์ หรือลบล้างซึ่งการดำเนินการในความเกี่ยวพันกับรัฐใด ๆ ซึ่งในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้เป็นศัตรูของรัฐใด ๆ ที่ลงนามในกฎบัตรฉบับปัจุบัน ซึ่งรัฐบาลที่รับผิดชอบการดำเนินการเช่นว่านั้นได้กระทำไป หรือได้ให้อำนาจกระทำไปโดยผลแห่งสงครามนั้น

 

หมวดที่ ๑๘

การแก้ไข

                 

 

ข้อ ๑๐๘

การแก้ไขกฎบัตรฉบับปัจจุบัน จะมีผลใช้บังคับกับสมาชิกทั้งปวงของสหประชาชาติ เมื่อการแก้ไขนั้นได้รับคะแนนเสียงสองในสามของสมาชิกของสมัชชาลงมติให้ และได้รับการสัตยาบันตามกระบวนการทางรัฐธรรนูญจากสองในสามของสมาชิกของสหประชาชาติ ซึ่งรวมถึงสมาชิกประจำทั้งปวงของคณะมนตรีความมั่นคงด้วย

 

ข้อ ๑๐๙

๑. การประชุมทั่วไปของสมาชิกของสหประชาชาติ เพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะทบทวนกฎบัตรฉบับปัจจุบัน อาจจัดให้มีขึ้นตามวันที่และสถานที่ซึ่งจะกำหนดโดยคะแนนเสียงสองในสามของสมาชิกของสมัชชาและโดยคะแนนเสียงของสมาชิกใด ๆ ของคณะมนตรีความมั่นคงเก้าประเทศ สมาชิกแต่ละประเทศของสหประชาชาติ จะมีคะแนนเสียงหนึ่งคะแนนในการประชุมนี้

๒. การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในกฎบัตรฉบับปัจจุบัน ซึ่งได้รับคำแนะนำโดยคะแนนเสียงสองในสามของที่ประชุม จะมีผลเมื่อได้รับการสัตยาบันตามกระบวนการทางรัฐธรรมนูญจากสองในสามของสมาชิกของสหประชาชาติ ซึ่งรวมถึงสมาชิกประจำทั้งปวงของคณะมนตรีความมั่นคงด้วย

๓. ถ้าการประชุมเช่นว่ายังมิได้จัดให้มีขึ้นก่อนสมัยประชุมประจำปีครั้งที่สิบของสมัชชา นับแต่กฎบัตรฉบับปัจจุบันได้มีผลใช้บังคับแล้ว ข้อเสนอที่จะให้เรียกประชุมเช่นว่านั้นจะต้องนำเข้าระเบียบวาระของสมัยประชุมนั้นของสมัชชา และการประชุมจะต้องจัดให้มีขึ้นหากได้วินิจฉัยเช่นนั้นโดยคะแนนเสียงข้างมากของสมาชิกของสมัชชาและโดยคะแนนเสียงสมาชิกใด ๆ ของคณะมนตรีความมั่นคงเจ็ดประเทศ

 

หมวดที่ ๑๙

การสัตยาบันและการลงนาม

                  

 

ข้อ ๑๑๐

๑. กฎบัตรฉบับปัจจุบันจะต้องได้รับการสัตยาบันโดยรัฐที่ลงนามตามกระบวนการทางรัฐธรรมนูญของรัฐตน

๒. สัตยาบันจะต้องมอบไว้กับรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะต้องแจ้งให้รัฐที่ลงนามทั้งปวงตลอดจนเลขาธิการขององค์การฯ เมื่อได้รับการแต่งตั้งแล้ว ให้ทราบถึงการมอบแต่ละครั้ง

๓. กฎบัตรฉบับปัจจุบันจะมีผลใช้บังคับ เมื่อสาธารณรัฐจีน ฝรั่งเศส สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ และสหรัฐอเมริกา และจำนวนข้างมากของรัฐอื่น ๆ ที่ลงนามได้มอบสัตยาบันแล้ว พิธีสารแห่งสัตยาบันที่ได้มอบไว้นั้นจะต้องจัดทำขึ้นโดยรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะต้องส่งสำเนาพิธีสารนั้นไปยังรัฐที่ลงนามทั้งปวง

๔. รัฐที่ลงนามในกฎบัตรฉบับปัจจุบัน และให้สัตยาบันภายหลังที่กฎบัตรมีผลใช้บังคับแล้ว จะเป็นสมาชิกดั้งเดิมของสหประชาชาติในวันที่มอบสัตยาบันของตน

 

ข้อ ๑๑๑

 

กฎบัตรฉบับปัจจุบันซึ่งตัวบทภาษาจีน ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษและสเปน ถูกต้องเท่าเทียมกัน จะต้องมอบไว้ในบรรณสารของรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา รัฐบาลนั้นจะต้องส่งสำเนาซึ่งรับรองโดยถูกต้องแล้วไปยังรัฐบาลของรัฐที่ลงนามอื่น ๆ

เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้แทนของรัฐบาลทั้งหลายของสหประชาชาติได้ลงนามกฎบัตรฉบับปัจจุบัน

ทำขึ้น ณ นครซานฟรานซิสโก เมื่อวันที่ยี่สิบหก มิถุนายน คริสต์ศักราชหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบห้า

 

พรพิมล/แก้ไข

๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔

 

จุฑามาศ/ปรับปรุง

๘ เมษายน ๒๕๕๘